สงคราม ไม้เรียว และเพื่อน |
ตะวันบ่ายสายลมอ่อนพัดผ่านช่องว่างไม้กั้นห้องเรียนที่ตีเป็นตารางสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนชวนให้อยากหลับเป็นที่สุด ชั่วโมงสุดท้ายวิชาภาษาไทย เพื่อนร่วมห้องไม่มีใครกล้าแอบหลับเพราะเกรงกลัวเจ้าแสบทรวงไม้เรียวคู่มือที่ครูสันติถือมาวางไว้บนโต๊ะครูหน้าห้อง ไผ่เรียวงามยาวพอเหมาะด้ามนี้ถูกริดเหลาขัดเกลาจนข้อไม้เกลี้ยงเนียน มันได้สัมผัสก้นนักเรียนไร้ระเบียบวินัยไม่ทำการบ้านมาหลายก้นจนอาจเบื่อที่สัมผัสก้นซ้ำซากอยู่ร่ำไป ตอนนี้มันน่าจะเล็งเป้าหมายได้สัมผัสก้นเพื่อนนักเรียนอีกหลายคนที่รอดพ้นมันไปได้ แต่มันยังคงไม่สัมฤทธิ์ผลแม้บางครั้งจะฉิวเฉียดก็ตามที แต่ละครั้งที่แสบทรวงสปริงตัวสัมผัสก้นนักเรียนดูเหมือนมันยิ่งย่ามใจที่เห็นเด็กนักเรียนร้องไห้ แล้วพ่อแม่กลับบอกครูให้ตีให้หนักหากดื้อดึงไม่ปฏิบัติตามคำครูสอน พ่อแม่ไม่เคยต่อว่าครูเลยสักครั้ง มิน่าเล่าเจ้าแสบทรวงมันจึงได้ใจส่งเสียงขวับเควี๊ยวคำราม ก่อนกระทบก้นนักเรียน ทั้งที่ครูไม่ได้เงื้อมันมากนัก เจ้าแสบทรวงคงผิดหวังในท่าทีของครูที่สะบัดมันจนน่าเกรงขามแต่กระทบก้นนักเรียนไม่รุนแรงอย่างที่มันตั้งใจไว้ ดูเหมือนครูใช้ไม้เรียวเป็นสัญลักษณ์ของการขัดเกลาเท่านั้นไม่ต้องการจงใจให้ต้องเจ็บนอกจากพวกเหลือขอ กระนั้นก็ตามไม้เรียวก็ยังคงให้ความเจ็บปวดในใจบางคนที่ไม่อยากถูกทำโทษเสียมากกว่า บางทีแสบทรวงมันมีความสำคัญที่ตรงนี้มากกว่าตอนที่มันได้กระทบก้นนักเรียนเสียอีก
ครูสันติอธิบายรูประโยคเสร็จเดินไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะครู สายตาเหลือบดูนักเรียนแวบหนึ่งแล้วเรียกทองเลื่อนออกมาหน้าห้องทองเลื่อนผู้คุ้นเคยแนบแน่นกับแสบทรวงเกือบทุกสัปดาห์เดินออกมาหน้าห้องด้วยสายตาละห้อยก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาครู พวกเราเกือบทุกคนต่างสนใจว่าวันนี้ทองเลื่อนจะโดนลงโทษเรื่องอะไรอีก ทองเลื่อนเดินไปใกล้ครูแล้วยืนกอดอกหันก้นให้ครูอย่างที่ทำจนเคยชิน ครูสันติมองทองเลื่อนด้วยรอยยิ้มที่มีเมตตาแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมพูดดังพอได้ยิน ทองเลื่อนเธอทำอะไรยืนกอดอกทำไม ทองเลื่อนเงยหน้าขึ้นหันไปมองหน้าครูเหมือนไม่แน่ใจในคำพูดที่ได้ยิน ครูพูดดังขึ้นให้นักเรียนได้ยินกันทั่วห้อง ทองเลื่อนเธอเขียนเรียงความเรื่องสงครามได้ละเอียดชัดเจนดีนะ พวกอาวุธสงครามต่าง ๆ เธอรู้จักจากที่ไหน ครูสันติถามทองเลื่อน ถึงตอนนี้เพื่อนร่วมห้องรอคอยคำตอบมากกว่าครูสันติเสียอีก ทองเลื่อนเงยหน้าเหลือบสายตาด้วยความกระตือรือร้นชนิดที่พวกเราน้อยครั้งจะได้เห็นสายตาเช่นนี้ของทองเลื่อนในห้องเรียน นอกจากตอนที่ไปกระโดดน้ำหน้าวัดหรือวิ่งเล่นหลังเลิกเรียน ทองเลื่อนหันมามองพวกเราที่เฝ้ามองแล้วตอบครูว่า ผมอ่านจากหนังสือที่คุณครูวิชัยซื้อไว้ที่ห้องสมุดครับ ครูสันติมองหน้าทองเลื่อน และในแวบหนึ่งของสายตาครูสันติเหมือนพึงพอใจในบางอย่าง แล้วครูส่งสมุดเขียนเรียงความให้ทองเลื่อนบอกให้ขยับไปหน้าห้องแล้วอ่านให้เพื่อนฟัง ทองเลื่อนอ่านจนจบ เพื่อนนักเรียนร่วมห้องได้รู้จักทองเลื่อนมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ทองเลื่อนเขียนเรียงความได้อย่างที่เราไม่เคยคิดเลยว่าทองเลื่อนที่สนิทกับแสบทรวงจะเขียนได้ดีถึงเพียงนี้ ทองเลื่อนเขียนในมุมที่เรียงความของทุกคนอาจไม่ได้เขียนถึงด้วยซ้ำไป สงครามของทองเลื่อนมีรถถัง การยกพลขึ้นบก มีฝ่ายพันธมิตร มีฝ่ายอักษะ ทำให้พวกเราต่างนึกถึงเรียงความของตนเองที่อาจแตกต่างออกไปคุณครูสันติก้าวเท้ามายืนคู่กับทองเลื่อนแล้วกล่าวชมว่าดีมากทองเลื่อนเธอมีอะไรดีดีอยู่ในตัวเธอมากมายเลยรู้ไหม อย่าลืมไปเข้าห้องสมุดอีกล่ะ ครูแนะนำให้อีกนิดนะทองเลื่อนในบทกล่าวนำเข้าเรื่องถ้าเธอจะเพิ่มเติมตรงนี้อีกสักเล็กน้อยแล้วน่าจะทำให้มันสมบูรณ์และชวนติดตามมากขึ้นนะแล้วครูก็แนะนำทองเลื่อนให้พวกเราฟังด้วย ก่อนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียนทองเลื่อนยิ้มที่มุมปากเหลือบสายมองพวกเราแสดงความกระหยิ่มยิ้มย่องในเรียงความของตน
ครูสันติเรียกนักเรียกออกไปทีละคนวิจารณ์และแนะนำการเขียนเรียงความควรปรับปรุงอย่างไรบ้างคุณครูช่างตั้งใจที่จะสอนพวกเราอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย วิธีการอย่างนี้ครูจะต้องใช้เวลากับการอ่านเรียงความทำความเข้าใจในเรียงความของพวกเราอย่างตั้งใจที่สุดไม่เช่นนั้นครูคงไม่รู้ว่าของใครจะต้องปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ครูเรียกพวกเราไปรับสมุดจนเหลืออีกสองคนที่ยังไม่ถูกเรียก ใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้วของเราล่ะครูจะว่าอย่างไร เอมอรถูกเรียกออกไปก่อนถึงตอนนี้ไม่ได้ฟังว่าครูสันติแนะนำเรียงความของเอมอรอย่างไรบ้าง นึกอยู่แต่เรียงความของตัวเอง ครูจะว่าอย่างไร เรียงความที่เขียนแตกต่างจากทองเลื่อนและเพื่อนบางคนที่ครูให้อ่านหน้าชั้นและแสดงความชื่นชม เรียงความของเราไม่มีอาวุธสงครามเลยสักชิ้น ปืนสักกระบอกก็ไม่รู้จัก ขณะกำลังร้อนใจอยู่ได้ยินครูสันติเรียกนาย ณ บางเลน ตามที่เคยเรียกเป็นประจำซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เรียกชื่อเราเหมือนเรียกคนอื่นกลับเรียกถิ่นฐานบ้านเกิดเราทุกครั้งไป เดินออกไปเหมือนคนไร้ใจ ครูสันติจ้องหน้าให้เราสบตาอยากจะหลบสายตาแต่ก็ไม่กล้าทำ ตอนนี้รู้สึกเหมือนอยากหลบหนีอะไรสักอย่าง แต่ก็ได้แต่ยืนนิ่ง
ครูสันติยื่นสมุดให้แล้วถามว่านาย ณ บางเลน สงครามของเธอทำไมจึงเป็นแบบนี้ ได้ยินคำถามแล้วไม่รู้ว่าจะตอบครูอย่างไรทั้งที่ทำใจไว้แล้วตั้งแต่ได้ฟังสงครามของทองเลื่อนที่ยอดเยี่ยม สงครามของเพื่อนร่วมห้องอีกหลายคนที่เขียนได้ดีแบบที่เราเองฟังแล้วชื่นชอบไปด้วย แต่สงครามที่เราเขียนไม่ชวนตื่นเต้นเร้าใจมันเป็นเพียงความรู้สึกต่อสู้ในใจของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้นจึงได้แต่ยืนนิ่ง ครูสันติหันมาจ้องหน้าชนิดที่แปลสายตาไม่ออกแล้วพูดว่าความเป็นหัวหน้าห้องเธอหายไปไหนเรียกมันกลับมา ตอบให้ครูได้ยินหน่อย ความอึดอัดถมทับลงมาเหมือนหายใจไม่ออกยังคงไม่รู้ว่าจะตอบครูอย่างไร ได้แต่มองผ่านเพื่อนนักเรียนไปหลังห้องสายตาเลยไปนอกห้องเห็นสายน้ำกำลังไหลรินเป็นริ้วระลอก ใบไม้เขียวขจีให้ความร่มเย็นสุดสายตาที่ถูกบดบังด้วยทิวไม้ริมแม่น้ำฝั่งโน้น ตัดสินใจตอบครูไปว่าผมไม่ชอบสงครามที่ทำให้ต้องต่อสู้กันครับ ผมไม่อยากเห็นการรุกรานกัน ครูสันติเอามือสัมผัสที่แขนแล้วบอกว่า ครูไม่ได้ตำหนิเธอ ครูเพียงอยากรู้ความรู้สึกของเธอทำไมเธอจึงเขียนสงครามของเธอออกมาแนวนี้ ครูหันมามองหน้าพูดขึ้นว่าเธอคิดเองใช่ไหม ครูหยุดพูดแล้วมองไปรอบห้องสัมผัสสายตานักเรียนที่นั่งฟังด้วยความตั้งใจแล้วครูจึงพูดต่อว่า เวลาครูตรวจเรียงความพวกเธอครูพยายามค้นหาแรงจูงใจที่พวกเธอทุกคนเขียนออกมา แต่ที่เธอเขียนครูไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นแรงจูงใจของเธอ โดยไม่รอคำตอบครูส่งสมุดเรียงความให้อ่านให้เพื่อนฟัง
อ่านเรียงความด้วยความเร่งรีบอยากให้จบไว ๆ จนครูต้องบอกให้อ่านช้า ๆ อ่านไปแอบเหลือบสายตาดูเพื่อนไปบ้าง ตั้งแต่บรรทัดแรกถึงบรรทัดสุดท้ายเพื่อนร่วมห้องนั่งฟังอย่างนิ่งเงียบไม่มีแววแห่งความตื่นเต้นแม้แต่น้อย เหมือนทุกคนรับฟังเรื่องเศร้าหรือไม่เข้าใจที่เราเขียนเสียมากกว่า ในห้วงเวลานั้นอยากหยุดอ่านอยากเดินออกจากห้องไปโดยไม่เกรงกลัวเจ้าแสบทรวงจะกระทบก้นแล้ว ติดอยู่ที่ครูยืนมองอยู่ด้วยสายตาอารีย์เท่านั้น เพื่อนนักเรียนบางคนเอาแต่จ้องหน้าคงนึกหาคำตอบว่านี่หรือสงครามของหัวหน้าห้อง สงครามที่ไร้อาวุธยุทโธปกรณ์ ไร้การรุกรานจากข้าศึก อยากจะบอกกับครูและเพื่อนนักเรียนให้รับรู้ว่าที่ละแวกบ้านสังคมที่เป็นอยู่นั้นถูกรุกรานถูกใช้กำลังเงินกำลังอำนาจแทบจะเงยหัวไม่ขึ้น พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำนาปลูกข้าว จับกุ้งจับปลาขาย ทั้งปลูกทั้งหามาได้เท่าไหร่ขายแต่ละครั้งถูกพ่อค้าแม่ค้ากำหนดกดราคาเอาเปรียบพวกเราร่ำไป ความแตกต่างของผู้คนที่จำทนถูกเอาเปรียบจากคนไทยด้วยกันชนชั้นที่แตกต่างหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้รับการเหลียวแล ความยากจน ความด้อยการศึกษาถูกแสวงหาเป็นจุดอ่อนให้รุกรานเอาเปรียบเพื่อสร้างความมั่งมีให้กับคนอีกชนชั้นหนึ่งเป็นสงครามที่อยู่ในใจมาตั้งแต่เกิด ผู้คนละแวกบ้านถูกรุกรานโดยคนไทยด้วยกันจากสงครามที่ไม่ได้ประกาศ จึงเขียนเรียงความเรื่องสงครามออกมาเป็นแบบนี้ มันอาจเป็นสงครามที่คุณครูสันติไม่มีเจตนาให้เขียน แต่สิ่งที่เขียนออกไปเป็นสงครามในใจที่อยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ไว้ นี่แหละสงครามของผมในวันนั้น สงครามที่คุณครูสันติพยายามค้นหาว่าสิ่งใดคือแรงจูงใจ สงครามที่คุณครูถามว่าเธอคิดเองใช่ไหม คงเป็นสงครามที่ครูอาจไม่แน่ใจว่ามาจากตัวเด็กคนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นในแผ่นดินเดียวกัน หรือเป็นสงครามที่ฝังลึกมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
หลายปีผ่านไปผมได้มีโอกาสนึกถึงเรียงความที่ผมระบายความไว้ในช่วงที่เป็นเด็กนักเรียน ผมพอที่จะเข้าใจแล้วว่าทำไมครูสันติจึงมีสีหน้าเช่นนั้นเมื่อพูดถึงเรียงความของผมที่แตกต่างไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ครูต้องการให้เขียน ความแตกต่างทางสังคมอาจทำให้เพื่อนร่วมห้องเรียนไม่เข้าใจหรือไม่พยายามจะเข้าใจเรียงความที่ผมเขียนขึ้น ซึ่งจะตำหนิเพื่อนก็คงไม่ได้เนื่องจากผมมาจากต่างถิ่นที่ห่างไกลกัน ต้องละทิ้งบ้านที่เคยกินอยู่หลับนอนมาอาศัยเรียนหนังสือที่นี่ สภาพความเป็นอยู่ในสังคมของพวกเพื่อนใหม่อาจไม่เคยรับรู้ถึงความกดดันอย่างที่ผู้คนในท้องถิ่นบ้านผมได้รับ การเอารัดเอาเปรียบที่มุ่งหน้าเข้ามาแสวงหาจากความด้อยโอกาส เมื่อมีผู้คนเริ่มคิดถึงความไม่ชอบธรรมก็จะเริ่มต่อต้าน อำนาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องเกรงกลัวกันอีกแล้ว และวันหนึ่งจะกลายเป็นสงครามให้ต้องต่อสู้กัน ไม้เรียวดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจของครู แต่ทองเลื่อนซึ่งถูกไม้เรียวฉายาแสบทรวงฟาดก้นบ่อยครั้งที่สุด ทองเลื่อนหาได้ยินยอมพร้อมใจและสยบต่อมันแต่อย่างไรแสบทรวงคงผิดหวังที่ครูสันติไม่มีเจตนาใช้อำนาจจากตัวมันแม้กระนั้นมันเองก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ไว้ขัดเกลาให้ผู้คนเป็นคนดีด้วยเหตุฉะนี้ทองเลื่อนผู้ดื้อรั้นจึงได้รับราชการเป็นนายทหารที่ก้าวหน้าคนหนึ่งในเวลาต่อมา
อดีตของบางคนอาจย้อนไปไม่ถึงพอที่จะทำความเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมสมัยนั้น จึงได้นำบทเพลงหนึ่งที่ในสมัยก่อนโด่งดังคุ้นเคยมาแสดงให้เห็นเป็นภาพสร้างจินตนาการให้ง่ายยิ่งขึ้น
พ.ศ.๒๕๐๔ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม
มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว
ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า (ซ้ำ)
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอนถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน่อยธรรมดา
หมาน่อย หมาน่อยธรรมดา
(บทเพลงนี้ประพันธ์โดย อิง ชาวอิสาน (พิพัฒน์ บริบูรณ์) ขับร้องโดย ศักดิ์ศรี ศรีอักษร)
อ่านบทเพลงสนุก ๆ เสียดสีสังคมที่นำมาแสดงไว้นี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของผู้คน การดูแลความเป็นอยู่ประชาชนในสมัยนั้นเป็นอย่างไร วิธีการปกครองสนองนโยบายรัฐ ผู้นำทางการปกครองที่ต้องเป็นตัวแทนรัฐ การศึกษา การให้ความรู้ความเข้าใจการ ความยอมรับผู้คน แล้วแต่ท่านจะคิดไปถึง เผื่อบังเอิญว่าท่านจะเข้าใจว่าทำไมผมจึงเขียนเรียงความเรื่องสงครามที่แตกต่างออกไป
ลัดนัน
|